
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ระบุว่ารัฐบาลจำต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงและคำสั่งต่าง ๆ เพื่อควบคุมการชุมนุมทางการเมืองไม่ให้เกิดความรุนแรง ยืนยัน “ไม่มุ่งหวังทำร้ายใคร”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงข่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษที่ทำเนียบรัฐบาลวันนี้ (16 ต.ค.)
ว่าที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบประกาศและคำสั่งต่าง ๆ ที่ออกตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ
:การชุมนุมครั้งที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทย
:ร.10 รมว.ต่างประเทศได้มีการโต้ตอบส.ส.ในสภาฯไทย
ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 15 ต.ค. เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยอยู่ใน “สถานการณ์ที่ไม่ปกติ” โดยคาดว่าจะบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ
ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างน้อย 30 วัน หรืออาจน้อยกว่านั้นหากสถานการณ์คลี่คลาย
เขายืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้มุ่งหวังทำร้ายใคร และที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่เป็นฝ่ายที่ถูกทำร้ายและถูกขัดขวางการปฏิบัติงาน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าสถานการณ์ลุกลามปานปลาย จำเป็นต้องประกาศห้ามออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิว) หรือไม่ นายกฯ ตอบว่า “ยังไม่ใช่ตอนนี้”
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2563 ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ)
เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนการเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 165 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่คณะรัฐมนตรี (ครม.)
เป็นผู้เสนอพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวปิดอภิปรายของฝ่ายรัฐบาลว่า หลายอย่างที่พูดกันในสภาและโจมตีตนเองในสภา
นั้นส่วนตัวรับได้และยิ้มรับไปทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องอื่นๆ ตัวเลขเศรษฐกิจหลายอย่างที่นำมาอภิปรายในสภาหลายตัวก็บิดเบือน

นายก กล่าว “เจ้าหน้าที่ไม่ได้ใช้กำลัง”
นายกฯ ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบสุข สร้างเสถียรภาพ และเตือนประชาชนว่าอย่าทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการใช้โซเชียลมีเดียบิดเบือนข้อมูล ถ้าทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดี
พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่าเขาได้ชี้แจงสถานการณ์และให้ข้อมูลข้อเท็จจริงกับต่างประเทศมาโดยตลอด และยืนยันด้วยว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการอย่างละมุนละม่อมและเบาที่สุดไม่ได้ละเมิดกฎหมาย
“เจ้าหน้าที่ทำอย่างเต็มที่ ไม่มีการใช้กำลัง มีแต่ถูกใช้กำลังทั้งสิ้น เราจะอยู่กันอย่างนี้เหรือ” เขาตั้งคำถามผ่านสื่อมวลชน “
เจ้าหน้าที่โดนทำร้าย โดนกระทำทั้งหมด ไม่เคยให้กำลังใจเจ้าหน้าที่กันเลย แล้วใครจะทำงานให้”
“ส่วนประเด็นที่ต้องการให้ผมลาออกเพราะบริหารประเทศ เพราะบริหารประเทศล้มเหลว ถ้าย้อนกลับไปปี 2549 กับ 2557 มีการชุมนุม
แต่มีใครลาออกหรือไม่ มีการกระทำความผิดหรือเปล่า ไม่กล่าวหาใครทั้งสิ้น แล้ววันนี้คนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน กรณีการชุมนุมผมรักลูกหลานทุกคน ผมรักเด็กนิสิตนักศึกษาทุกคนเป็นพลังแผ่นดินในวันข้างหน้า
แต่เราควรสร้างความเข้าใจได้หรือไม่ ชี้ทางที่ถูกต้อง แต่ทุกคนเป็นเสียงหนึ่งของคนไทย ผมยอมรับฟังมีทั้งทำได้และทำไม่ได้ กรณีของชุดนักเรียน ถ้าจำได้ไม่ผิดจะทำให้เกิดการประหยัดและไม่มีการแข่งขัน
ไม่มีความแตกต่างระหว่างคนจนและคนรวย ส่วนทรงผมก็เพื่อความปลอดภัยของนักเรียนว่าคนเหล่านี้ไปเดินพื้นที่ต่างๆ
นอกเวลาเรียนจะไม่ถูกทำร้าย แต่วันนี้โลกมันเปลี่ยนแล้วผมยอมรับได้ แต่ก็ไปคิดกันก็แล้วกัน ไม่อยากให้ฟังด้านหนึ่งด้านเดียวทุกอย่างมีอดีตที่มาทั้งสิ้น” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การใช้สื่อออนไลน์ในการขับเคลื่อนนั้นในฐานะเป็นรมว.กลาโหม มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคอยติดตามก็ทราบว่าการแพร่ข้อความต่างๆมีโพสต์ครั้งแรก 200 คน
จากนั้นไม่กี่นาทีแอคเคาท์เดียวกันเพิ่มเป็น 5 หมื่นคน ไม่ทราบว่าใช้เทคโนโลยีอะไร ตนอาจไม่ทันสมัย หรือแอคเคาท์เดียวกันแพร่ไปหลายช่องทาง
มันมีเครือข่ายหรือเปล่าไม่แน่ใจ ต้องช่วยเช็คให้ตนด้วย มีการใช้ระบบ AI โพสต์ข้อมูลต่างๆ รัฐบาลไม่เคยปิดกั้นแต่หากละเมิดเกินไป
ไม่สุภาพ คิดว่าสังคมก็รับไม่ได้ เห็นอยู่แล้วว่าสังคมมีปัญหาในโทรศัพท์ขึ้นมาทุกชั่วโมงในสิ่งที่ไม่ควรขึ้นมา ทั้งชวนเที่ยว นัดแนะ ขายหัว ขอหวย
เขาย้ำว่ารัฐบาลสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ต้องทำตามขั้นตอนและระเบียบซึ่งอีกไม่กี่วันก็จะเปิดประชุมสภาแล้ว จึงขอให้ใช้ช่องทางนั้นในการดำเนินการ
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีบางฝ่ายมองไปถึงขั้นการปฏิวัติรัฐประหารเพราะสถานการณ์มีความแหลมคมมากขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ต่อว่าผู้สื่อข่าวว่า “พูดซ้ำซากอยู่แต่เรื่องนี้ ปฏิวัติรัฐประหาร พูดอยู่นั่นแหละ ใครจะทำ ไปหามาซิ”

เป็นนายกฯ ที่รับฟังมากที่สุดหรือป่าว
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 นาทีของการแถลงข่าว พล.อ. ประยุทธ์แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่บ่อยครั้งโดยเฉพาะเมื่อสื่อมวลชนตั้งคำถาม
พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่าเขาเป็นนายกฯ ที่รับฟังประชาชนมากที่สุด ดังนั้นการที่นักวิชาการเรียกร้องให้รัฐบาลจริงใจเปิดเวทีพูดคุยและรับฟังความคิดเห็นนั้นจึงต้องถามกลับไปว่า “ผมไม่จริงใจตรงไหน”
เขากล่าวว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อการทำงานของรัฐ เพราะ “ต้องเอากำลังทั้งหมดมาดูแลเรื่องนี้”
หลังจากเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลโดยไม่มีผู้บาดเจ็บช่วงรุ่งสางของวันที่ 15 ต.ค. ผู้ชุมนุมย้ายมารวมตัวกันที่แยกราชประสงค์ในตอนเย็น
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตลอดการประชุม 2 วัน ที่รัฐสภาเสนอความเห็น เรื่องใดที่ทำแล้วเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
ขอนำไปปฏิบัติให้เกิดความเป็นจริง เรื่องไหนที่เป็นคำเตือน ข้อจำกัด ข้อคิดก็จะรับไว้พิจารณา สำหรับตนเองนั้นมีความเป็นห่วงมากที่สุด
สองเรื่อง ได้แก่ 1.ห่วงประเทศชาติว่าจะไปทางไหนอย่างไร เดินทางไปทางไหนในสถานการณ์เช่นนี้ ประเทศไทยควบคุมโควิดประสบความสำเร็จจนมีผู้ติดเชื้อต่ำ มีหลักฐานประจักษ์ชัดว่าเราทำได้ดีมาก
ซึ่งเป็นระบบสาธารณสุขที่สะสมมาจากคนรุ่นเก่าและพัฒนามาถึงคนรุ่นปัจจุบัน และเป็นผลจากการร่วมมือของคน
ซึ่งเป็นเรื่องที่เราทุกคนควรร่วมภาคภูมิใจและจารึกในประวัติศาสตร์ แต่เราต้องระวังเพราะทุกภูมิภาคของโลกยังระบาดอยู่ แต่อยู่ที่เราจะรับมือได้มากเพียงใด

พล.อ. ประยุทธ์ ลั่น “ไม่ออกอะ”
ผู้สื่อข่าวถามว่าจนถึงขณะนี้ นายกฯ ยืนยันว่าจะไม่ลาออกตามข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า “ไม่ออกอะ” และเมื่อถามว่านายกฯ
มั่นใจว่าจะทำให้ประเทศสงบเรียบร้อยเหมือนตอนที่เคยบอกสมัยเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่าขณะนี้บ้านเมืองไม่สงบเพราะใคร
เขาถามต่อว่า “แล้ววันนี้ผมทำความผิดอะไรหรือ ผมผิดอะไรหรือ”
นายกฯ บอกว่าทุกวันนี้เขาทำทุกอย่างทั้งสวดมนต์ แผ่เมตตาและอโหสิกรรม ไม่ให้ร้ายใคร ไม่ประมาทชีวิต พร้อมจะตายทุกโอกาส
เขาฝากถึงผู้ชุมนุมว่าไม่อยากให้ใครต้องถูกดำเนินคดีทางกฎหมายและ “ขอให้รักแผ่นดินเกิดของท่านให้มาก”