ข่าวเด่นประจำวัน » ลาโลกแล้ว นักฟุตบอลในตำนาน

ลาโลกแล้ว นักฟุตบอลในตำนาน

28 พฤศจิกายน 2020
1964   0

ลาโลกแล้ว นักฟุตบอลในตำนาน เกิดจลาจลย่อมๆ ในประเทศอาร์เจนตินา เมื่อแฟนบอลจำนวนเกือบ 1 แสนคน

จากทั่วสารทิศเดินทางมาร่วมไว้อาลัยร่างไร้วิญญาณของ ดิเอโก้ มาราโดน่า แข้งระดับตำนานของชาติที่เสียชีวิตลงแล้วด้วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เมื่อช่วงดึกของคืนวันพุธที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

โดยจากการที่ อัลเบร์โต้ เฟร์นานเดซ ประธานาธิบดีของอาร์เจนตินา ได้มีคำสั่งให้มีการไว้อาลัยทั่วประเทศเป็นเวลา 3 วัน

รวมถึงให้มีการนำโลงศพของแข้งดังมาตั้งไว้ที่ทำเนียบประธานาธิบดี คาซ่า โรซาด้า ก่อนเปิดให้ประชาชนเข้าอำลานักเตะขวัญใจเป็นครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

:แพ้ยับ ลิเวอร์พูล&อตาลันต้า 0-2

ซึ่งด้วยความที่มีแฟนบอลจำนวนมากเดินทางมารวมตัวกัน ทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายพยายามที่จะทำลายแผงกั้นเพื่อแย่งกันเข้าไปอำลานักเตะหมายเลข 10 ตลอดกาลของพวกเขา จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้าควบคุมฝูงชน ก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลง

ลาโลกแล้ว นักฟุตบอลในตำนาน หลังจบพิธีการอำลาที่ให้แฟนๆ สามารถเข้าไปวางดอกไม้ รวมถึงโยนเสื้อฟุตบอลไปที่บริเวณโลงศพ เจ้าหน้าที่ก็ได้นำไปประกอบพิธีทางศาสนา ก่อนเคลื่อนย้ายไปฝังที่สุสาน จาร์ดิน เดอ ปาซ ชานเมือง บัวโนส ไอเรส

สำหรับ ดีเอโก้ มาราโดน่า ถือเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของทีมชาติอาร์เจนติน่า สามารถพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1986 แต่ต้องจากโลกนี้ไปด้วยภาวะหัวใจวายในบ้านพัก ซึ่งแพทย์พยายามปั้มหัวใจช่วยแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถยื้อชีวิตเอาไว้ได้

ดีเอโก อาร์มันโด มาราโดนา ฟรังโก ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 30 ต.ค. 1960 ที่โรงพยาบาลในเมืองลานุส กรุงบัวโนสไอเรส เป็นบุตรของ ดีเอโก “ชิโตโร” มาราโดนา
และ ดัลมา ฟรังโก โดยเจ้าตัวเป็นลูกคนที่ 5
และเป็นลูกชายคนแรกหลังจากครอบครัวนี้มีลูกสาวมาแล้ว 4 คน โดยชีวิตวัยเยาว์ของเด็กชาย ดีเอโก มาราโดนา

ลาโลกแล้ว นักฟุตบอลในตำนาน
ลาโลกแล้ว นักฟุตบอลในตำนาน
ลาโลกแล้ว นักฟุตบอลในตำนาน
ลาโลกแล้ว นักฟุตบอลในตำนาน

ต้องพบกับความยากลำบากเนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจน อย่างไรก็ตาม มาราโดนา มีแววของการเป็นยอดนักเตะตั้งแต่ยังเด็ก และมักจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากพ่อแม่ ที่ตั้งความหวังว่าเขาจะใช้พรสวรรค์ด้านฟุตบอลหาเลี้ยงครอบครัวในอนาคต

เมื่ออายุได้ 8 ขวบ พรสวรรค์ด้านลูกหนังของ มาราโดนา
ไปเตะตาแมวมองของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส ทีมดังในลีกอาร์เจนตินา
จนถูกดึงเข้าไปอยู่ในทีมเยาวชนของสโมสร และมักจะถูกส่งลงไปโชว์ความสามารถด้วยการเดาะบอลเรียกเสียงฮือฮาจากแฟน ๆ

ในช่วงพักครึ่งของเกมที่ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส ลงเล่นในถิ่นของตัวเองอยู่เสมอ จนกระทั่ง 20 ต.ค. 1976 เจ้าตัวได้โอกาสลงเล่นฟุตบอลอาชีพเกมแรกในชีวิต
ด้วยวัยที่ขาดแค่ 10 วันจะอายุครบ 16 ปี
ในเกมที่ อาร์เจนตินโนส จูเนียร์ส เจอกับ ตัลเญเรส เดอ คอร์โดบา

มาราโดนา โชว์ลีลาอยู่กับ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส อยู่ 5 ปี
ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ โบคา จูเนียร์ส ยักษ์ใหญ่แห่งลีกแดนฟ้าขาว ในปี 1981
ก่อนที่เขาจะพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ในปีดังกล่าว ซึ่งเป็นแชมป์ลีกบ้านเกิดครั้งแรกและครั้งเดียวของเจ้าตัว

หลังจากนั้น เขาเซ็นสัญญาย้ายไปอยู่กับ บาร์เซโลนา
มหาอำนาจลูกหนังในศึก ลา ลีกา สเปน ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะร่วมทัพทีมชาติอาร์เจนตินาไปลุยศึกฟุตบอลโลก 1982
ด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นสถิติโลกในเวลานั้น

อย่างไรก็ตาม ชีวิตในถิ่น คัมป์ นู ของ มาราโดนา ไม่ราบรื่นอย่างที่คิด
เขาเจออาการบาดเจ็บรุมเร้า
และลงเล่นให้ บาร์เซโลนา ไปแค่ 58 เกม ยิง 38 ประตู

ก่อนจะย้ายไปค้าแข้งในอิตาลีกับ นาโปลี ในปี 1984 ด้วยค่าตัว 6.9 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติโลกในเวลานั้นอีกเช่นเคย
โดยในวันเปิดตัวกับทีม “อัซซูรา” นั้น มีแฟนบอลแห่เข้ามายลโฉมว่าที่ซูเปอร์สตาร์คนใหม่ของสโมสรถึงกว่า 75,000 คน

และเขาก็ไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวัง เขากลายเป็นเทพเจ้าของแฟนบอลนาโปลี ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์กัลโช เซเรีย อา ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร

ในฤดูกาลในช่วง 1986-1987 ได้แชมป์อีกครั้งในฤดู 1989-1990 ซึ่งยังคงเป็นแชมป์ลีกที่สูงสุดได้แค่ 2 ครั้งของสโมสรจนถึง ณ ปัจจุบัน นอกจากนั้นยังพาทีมได้แชมป์โคปปา ที่อิตาลี 1 สมัย แชมป์ ยูฟ่า คัพ อีก 1 สมัย

อย่างไรก็ตาม ชีวิตในช่วงนี้ของ มาราโดนา เริ่มเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องฉาว ทั้งการพัวพันกับตระกูลมาเฟียในเมืองเนเปิลส์
รวมถึงมีการกล่าวหาว่าเจ้าตัวพัวพันกับการค้ายา และที่สำคัญที่สุดคือการใช้ยาเสพติดจนเจ้าตัวต้องถูกแบนห้ามลงสนามถึง 15 เดือน

โทษฐานถูกตรวจพบว่าเสพโคเคน หลังจากนั้น เส้นทางลูกหนังของ มาราโดนา อยู่ในช่วงชาลงเป็นอย่างมาก เขาเลยย้ายกลับไปอยู่ที่สเปน ไปเล่นให้กับ เซบีญา ในปี 1992 และย้ายกลับมาอยู่อาร์เจนตินา

ส่วนผลงานกับทีมชาติอาร์เจนตินานั้น มาราโดนา เริ่มติดทีมชาติตั้งแต่ปี 1977 เขาถูกตัดชื่อออกจากทีมชาติชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 1978 ในบ้านตัวเองอย่างน่าเสียดาย

อย่างไรก็ตาม 4 ปีต่อมา เขาติดทีมไปลุยศึกฟุตบอลโลก 1982 ที่ประเทศสเปน พร้อมความคาดหวังจากแฟนบอลทั้งชาติ
แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า เมื่อเขาโดนไล่ออกในเกมกับ บราซิล และสุดท้ายทีมก็จอดป้ายแค่รอบ 2 

ดูข่าวเพิ่มเติมได้ที https://sexyae.net